เรารู้ตัวเมื่อเกือบ 8 ปีก่อน ราว ๆ ปลายปี พ.ศ.2554 ตอนนั้นกำลังเรียนอยู่ปี 4 ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
อาจารย์กำลังสอน เราอ่านตามคร่าว ๆ ในหนังสือ เหมือนเรากำลังเดินบนพื้นราบเรียบ แล้วเผลอสะดุด จากนั้นก็ตื่น
ตื่นจากฝันที่มีแต่เมฆหมอกปกคลุม ขมุกขมัว มองไม่เห็น หายใจลำบาก
เนื้อหาที่เราอ่านเจอในหนังสือตรงกับตัวเราเป็นส่วนมาก ทันทีที่เลิกคลาส เราขอคุยกับอาจารย์เพื่อนัดเวลา ‘ปรึกษา’ อย่างจริงจัง
ในตอนนั้น อาจารย์คงไม่ได้เพิ่งเจอเราเป็นกรณีแรก เราคิดว่าคงมีนักศึกษาแพทย์หลายรุ่น หลายคน ก่อนหน้าเราที่เข้าขอ ‘ความช่วยเหลือ’ จากอาจารย์ท่านนี้และท่านอื่น ๆ
อาจารย์มองมาอย่างเข้าอกเข้าใจ และยินดีอย่างยิ่งให้เราเข้าพบนอกเวลาทำงาน
หลังนัดเวลาที่จะเข้าพบกับอาจารย์แล้ว เหมือนเห็นแสงรำไรในชีวิตเลย จากที่อยู่ในน้ำทะเลมืด ๆ หนาว ๆ ในที่สุดก็เหมือนจะเห็นแสงสว่างที่ผิวน้ำสักที
เพราะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน อาจารย์จึงให้เข้าพบได้ที่ห้องพักของอาจารย์ พอถึงวันและเวลาที่นัดกันไว้ เราทั้งตื่นเต้นและกังวล ไม่รู้ว่าควรปรึกษากับอาจารย์ว่าอย่างไรดี เพราะเราเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปัญหาคืออะไร เรารู้แค่ว่าเราต้องการการช่วยเหลือ
แต่พอนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งเยื้องกับอาจารย์ และเรายังไม่ทันนึกคำพูดด้วยซ้ำ น้ำตาก็ทำหน้าที่แทนเสียแล้ว
เราร้องไห้อย่างหนักหน่วง อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมา ร้องไห้โดยที่ไม่รู้ว่าร้องเพราะอะไร สะอึกสะอื้น แค่ตั้งสติให้ตัวเองหยุดร้องยังยากเย็น
แต่ในมวลความเศร้าที่ทะลักทะลายออกมานั้น มีความโล่งใจปะปนอยู่ เพราะในที่สุด เราก็ได้รับการช่วยเหลือสักที
มานั่งนึกเอาตอนนี้ เราเองก็จำไม่ได้แล้วว่าพรั่งพรูอะไรออกไปบ้าง แต่จำได้แม่นว่าอาจารย์ยื่นม้วนกระดาษทิชชู่ให้ตั้งแต่ช่วงแรกของการเข้าพบ ดูปริมาณที่มีอยู่แล้ว อาจารย์น่าจะแกะออกมาใช้ได้ไม่นาน แต่กว่าการปรึกษาจะสิ้นสุดลงในวันนั้น เราก็ใช้ไปแทบหมดม้วน รวมเวลาที่เข้าพบประมาณ 4 ชั่วโมงได้ โดยตลอดระยะเวลาที่เราใช้ไปในห้องพักอาจารย์ ท่านไม่ได้เร่งเร้า ไม่ได้ตัดสิน ไม่ได้ชี้นำ ท่านเพียงถามให้เราเล่า ถามให้เราอธิบาย ถามให้เรานึกคิด แล้วจึงแนะนำเมื่อเราตั้งสติได้เต็มที่และพร้อมรับฟัง
การรักษาเริ่มขึ้นตั้งแต่วันนั้น ตั้งแต่การได้ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง มาจนถึงปัจจุบัน